บทที่ 4 

รูปแบบประโยคในภาษาอังกฤษ (Types of English Sentence)

เรื่องที่ 1 ชนิดของประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสาร (Types of English Sentence for Communication) 

ประโยคในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์ของการใช้ได้เป็น 6 ชนิด คือ 

  1. ประโยคบอกเล่า (Affirmative Statement or Dedication Sentence) คือ ประโยคที่ใช้ใน การสื่อสารเรื่องราวข่าวสาร ขอคิดเห็นต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย ประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมีกรรม (Object) หรือสวนขยาย (Complement) ด้วยก็ได้ 

ประธาน + กริยา + กรรม 

(Subject) (Verb) (Object)

ในประโยคบอกเลา การกระจายกริยาต้องเป็นไปตามประธาน (Subject) และกาล (Tense) ที่บอกเลาเรื่องนั้น 

2. ประโยคคำถาม (Question sentence) เป็นประโยคที่ใช้ถามเพื่อต้องการคำตอบจาก ผู้ที่เราสนทนาด้วย ประโยคคำถามมี 4 ชนิด คือ

(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes - no question)  เป็นประโยคที่ต้องการคำตอบว่า Yes (ใช้) หรือ No ( ไม่ใช้) เท่านั้น ประโยคคำถามประเภทนี้ต้องขนต้นประโยคด้วยกริยาช่วย

การทำประโยคคำถามแบบ Yes-no question นี้ทำจากประโยคบอกเลาธรรมดา (Affirmative sentence) โดยเอากริยาช่วย (Helping Verb) มาไว้ข้างหน้า ได้แก่ Verb to be, will, have ถ้าประโยคใดไม่มีกริยาช่วยให้ใช้ Verb to do โดยกระจายรูปกริยาช่วยให้ถูกต้องตามประธาน และทำกริยาแท้ให้อยู่ในรูปเดิมที่ไม่ต้องเติม s หรือ es  แล้วลงท้ายประโยคด้วยเครื่องหมายคำถาม (Question mark) ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 

ประโยคบอกเลา ประโยคคำถาม 

She is your teacher. Is she your teacher? 

(เธอเปืนครูของคุณ) (เธอเปืนครูของคุณใช้ไหม) 

He likes you. Does he like you? 

(เขาชอบคุณ) (เขาชอบคุณหรือเปล่า) 

They buy air ticket. Do they buy air ticket? 

(เขาซื้อตั๋วเครื่องบิน) (เขาซื้อตั๋วเครื่องบินใช้ไหม)

(2) ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำที่เป็นคำถาม (Question word question) คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำที่เป็นคำถาม ได้แก่ what (อะไร), when (เมื่อไหร่), where (ที่ไหน), who (ใคร), whom (ถึง, แก่ใคร), whose (ของใคร), which (อันไหน/สิ่งไหน), why (ทำไม), how (อย่างไร) 

ในการตั้งคำถามด้วยคำเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะต้องตามด้วยกริยาช่วย ยกเว้น who ตามด้วยกริยาแท้ และwhose ตามด้วยคำนาม ส่วน which ตามด้วยคำนามที่เป็นกรรมหรือกี่ริยาช่วย ขอให้ศึกษารายละเอียดการใช้คำที่เป็นคำถาม (Question word question) แต่ละตัว ดังต่อไปนี้

1. What อ่านว่า วอท แปลว่า อะไร ใช้ถามเกี่ยวกับคน สัตว์  สิ่งของ 

2. Where อ่านว่า แวร์  แปลว่า ที่ไหน ใช้ถามสถานที่

3. When อ่านว่า เวน แปลว่า เมื่อไร ใช้ถามเกี่ยวกับเวลา 

4. Who อ่านว่า ฮูแปลว่า ใคร ใช้ถามบุคคล 

5. Why อ่านว่า วาย แปลว่า ทำไม ใช้ถามเมื่อต้องการถามถึงเหตุผล 

6. Which อ่านว่า วิช แปลว่า ตัวไหน อันไหน หรือเปืนการไถ่ถามให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง 

7. How อ่านว่า ฮาว แปลว่า อย่างไร ใช้ในความหมายที่ต่างกัน ดังนี้    

How ใช้ถามลักษณะอาการวิธีการคมนาคม การใช้เครื่องมือต่าง ๆ

How long ใช้ถามเกี่ยวกับระยะเวลาวานานเท่าใด

How often ใช้ถามเกี่ยวกับความถี่

How many ใช้ถามจำนวนมากน้อยเท่าใด (คำนามนับได้)

How far ใช้ถามระยะทางว่าไกลเท่าไร

How old ใช้ถามอายุ

How about ใช้ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ

How high ใช้ถามความสูงของสิ่งของที่มีความสูงมาก ๆ 

ข้อสังเกต การตั้งคำถาม ขอให้นักศึกษาสังเกตว่าการใช้ Question words มาตั้งเป็นประโยคคำถามนั้น Question words จะอยู่ข้างหน้าประโยค ตามด้วยกริยาช่วย ประธาน กริยาแท้ กรรมและส่วนขยาย ตามโครงสร้างประโยค Question words บางคำสามารถตามด้วยกริยาแท้ (Verb) ได้เลย หากคำถามนั้นถามถึง ประธาน (Subject) ของประโยค

What ในคำถามแรกถามถึงประธานของประโยคซึ่งเป็นสัตว์  จึงใช้คำว่า What ส่วน Who ใช้ถามสำหรับคนเท่านั้น สำหรับคำว่า 

Which เป็นคำถามเกี่ยวกับลักษณะให้เลือกตอบ แปลว่าอันไหน ตัวไหน จึงต้องตามด้วยคำนามหรือสรรพนามเสมอ แล้วตามด้วยกริยาช่วย ประธาน กริยาแท้ กรรมและส่วนขยาย

ส่วน คำว่า How สามารถตามตัวด้วยคำคุณศัพท์ (Adjective) เพื่อถามลักษณะต่าง ๆได้

ถ้าถามถึงจำนวน หรือปริมาณจะใช้ How many สำหรับสิ่งที่นับได้ และHow much สำหรับ สิ่งที่นับไม่ได้

สำหรับการถามราคาจะใช้คำถามว่า How much does it cost? เสมอ

(3) ประโยคคำถามที่ลงท้ายด้วยวลีบอกเลาหรือปฏิเสธที่เป็นคำถาม (Question Tags) เป็นประโยคคำถามที่มักจะใช้ในภาษาพูดีหรือบทสนทนา ซึ่งผู้ถามทราบคำตอบอยู่แล้ว แต่ต้องการยืนยัน โดยจะพูดเป็นประโยคบอกเลาก่อนและลงท้ายด้วยกริยาช่วยและประธาน ถ้าประโยคหน้าเป็น ประโยคบอกเลาธรรมดา จะลงท้ายด้วยวลีปฏิเสธ แต่ถ้าประโยคหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ จะลงท้ายด้วย วลีบอกเลา

(4) ประโยคคำถามแบบลดรูป (Reduced question) คือคำวลี หรือประโยคที่ไม่สมบูรณ์  ซึ่งลดรูปมาจากประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes-no question) ส่วนมากจะใช้ ในการสนทนาของผู้ที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันนี้เป็นพิเศษ

3. ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence) คือประโยคบอกเลาที่มีคำหรือวลีที่มีความหมายใน     เชิงปฏิเสธอยู่ในประโยค ซึ่งจะเป็นคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่น not, never, hardly, scarcely, rarely     เป็นต้น หรือคำสรรพนามแสดงการปฏิเสธ เช่น no one, nobody, none, no, nothing   เป็นต้น

วิธีการทำประโยคบอกเลาให้เป็นประโยคปฏิเสธ ทำได้ 2 แบบ คือ

1. เติมคำว่า not ไปข้างหลังกริยาช่วย (Helping or Auxiliary Verb) ในประโยค บอกเลา (Affirmative Sentence)

สังเกตวิธีการทำประโยคบอกเลาให้เป็นประโยคปฏิเสธ จะใช้หลักเดียวกันกับวิธีทำประโยค บอกเลาให้เป็นประโยคคำถาม คือถ้าประโยคใดมีกริยาช่วยอยู่ให้เติมคำว่า “not” (ไม่) เข้าไปหลัง กริยาช่วยแต่ถ้าประโยคใดไม่มีกริยาช่วยให้เติม “Verb to do” ไปหน้ากริยาแท้ หรือกี่ริยาหลัก โดยกระจายให้ถูกบุรุษ เพศ พจน์และกาล

2. ประโยคปฏิเสธ กริยาช่วยที่แสดงการปฏิเสธสามารถใช้ในรูปย่อได้ คือ

do not  = don't does not  = doesn't 

have not  = haven't has not    = hasn't 

am not  =   ไม่มีการย่อ is not    = isn't 

are not    = aren't shall not   = shan't 

will not   = won't cannot   = can't

กริยาช่วย “can” (สามารถ) เมื่อเติมคำว่า "not" เข้าไปจะเขียนติดกั้นี้เป็น cannot คำกริยาช่วยตัวใดทำหน้าที่เป็นกริยาแท้ เช่น have (กิน,มี) do (ทำ) เวลาทำเป็นประโยค ปฏิเสธ ต้องใช้กริยาช่วย Verb to do เช่นเดียวกัน 

4. ประโยคคำสั่ง (Imperative or Order sentence) เป็นประโยคที่บอกให้ทำหรือขอร้องให้ ทำตามที่ผู้นั้นบอก ซึ่งผู้ที่รับคำสั่งคือผู้ที่คนสั่งพูดด้วย ซึ่งคนที่จะสั่งจะเป็นบุรุษ ที่ 1 คือผู้พูด (I หรือ We)     ส่วนคนที่ถูกสั่งจะเป็นบุรุษที่ 2 (You) เมื่อเปืนประโยคคำสั่งจะตัด ประธาน (You) ออก ประโยคคำสั่งต้อง ขึ้นต้นด้วยคำกริยาช่องที่ 1 เสมอ ซึ่งอาจจะเป็นรูปบอกเลาหรือปฏิเสธก็ได้

วิธีการทำประโยคคำสั่ง 

Verb + Object + Complement 

(กริยา) (กรรม) (สวนขยาย) 

ประโยคคำสั่งจะเป็นประโยคที่สรรพนามบุรุษที่ 2 (You) เป็นประธานและอยู่ในรูป ปัจจุบันกาลธรรมดา (Present Simple Tense) เสมอ เพราะการที่จะสั่งหรือขอร้องให้ใครทำอะไรจะ พูดีหรือบอกให้ทำหรือไม่ทำในขณะที่พูดนั้น

5. ประโยคอุทาน (Exclamatory sentence) คือประโยคที่ใช้แสดงความรู้สึกและอารมณ์  เช่น เสียใจ ดีใจ   เป็นต้น ใช้ได้ทั้งประโยคเต็มรูปและลดรูป 

(1) ประโยคอุทานเต็มรูป จะขึ้นต้นด้วยคำที่เป็นคำถาม (Question word) how (อย่างไร) และwhat (อะไร) ถ้าขึ้นต้นด้วย How จะตามด้วยคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือคำกริยา วิเศษณ์ (Adverb) แล้วตามด้วยประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมีส่วนขยาย (Complement) ด้วยก็ได้ ส่วนประโยคที่ขึ้นต้น ด้วย What จะตามด้วยนามวลี (Noun phrase) แล้ว ตามด้วยประธาน (Subject) และกริยา (Verb)

How + Adjective + Subject + Verb + Complement 

(คําคุณศัพท) (ประธาน)  (กริยา)   (สวนขยาย) 

Adverb (คำกริยาวิเศษณ) 

What + Noun phrase + Subject + Verb 

(นามวลี) (ประธาน)   (กริยา)

How beautiful she is! เธอช่างสวยอะไรเช่นนี้ 

How fluently he can speak English! เขาช่างพูดภาษาอังกฤษคล่องอะไรเช่นนี้ 

What a healthy man he is! เขาช่างเป็นคนแข็งแรงอะไรเช่นนี้ 

What a wonderful girl she is! เธอช่างเป็นเด็กมหัศจรรย์อะไรเอ่ย่างนี้

(2) ประโยคอุทานลดรูป เป็นประโยคที่ตัดประธาน (Subject) และกริยา (Verb) รวมทั้งส่วนขยาย (Complement) ออก

How beautiful! สวยจริง ๆ 

How fluently! พูดคล้องจรึง ๆ  

What a healthy man! ช่างเป็นคนที่แข็งแรงจรึง ๆ 

What a wonderful girl! ช่างเป็นเด็กมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้

 

เรื่องที่ 2 ประโยคความรวม (Compound Sentence)

ประโยค (Sentence) หมายถึง กลุ่มคำที่ประกอบด้วยภาคประธาน ภาคแสดงและภาคขยายที่เรียงประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ โดยแสดงข้อความที่มีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษ มี 4 ชนิด คือ Simple Sentence, Compound Sentence, Complex Sentence   และCompound - Complex Sentence  ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จะศึกษารูปประโยค Compound Sentence หรือประโยค ความรวม แต่ก่อนที่จะเรียนรู้รายละเอียดเรื่องรูปประโยค Compound Sentence เรามาทบทวนรูป ประโยค Simple Sentence กันก่อน

ประโยคความเดียวหรือเอกัตถประโยค (Simple Sentence) หมายถึงประโยคที่แสดง ข้อความที่พูดซึ่งมีความเดียว ไม่กำกวม สามารถเข้าใจได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น 

He is a boy. 

Suda walks to school. 

I sit on a chair. 

ประโยคความเดียว (Simple Sentence) จะมีประธานและกริยาเพียงตัวเดียว ประกอบด้วย ภาคประธาน (Subject) คือสวนที่เป็นประธานของประโยค และภาคแสดง (Predicate) คือสวนที่เป็น กริยาและ  สวนขยายอื่น ๆ 

ภาคประธาน ภาคกริยา 

(Subject) (Predicate) 

The birds sing. The mob move down the street. 

It rained heavily in Bangkok. He sent her a bouquet of flowers. 

สำหรับประโยคความรวมหรือเอกัตถประโยค (Compound Sentence) หมายถึง ประโยค ที่มี        ข้อความ2 ข้อความมาร่วมกันแล้วเชื่อมด้วยคำสันธาน (Conjunction หรือตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and (และ), or (หรือ), but (แต่), so (ดังนั้น), still (ยังคง), yet (แล้ว) etc. และConjunctive Adverb (คำกริยาวิเศษณ์เชื่อม) ได้แก่ however (อย่างไรก็ตาม), meanwhile (ในขณะที่), therefore (ดังนั้น), otherwise (มิฉะนั้น), thus (ดังนั้น) etc. 

Compound Sentence ประโยคที่เชื่อมด้วยบุพบท (Conjunction หรือตัวเชื่อมประสาน) ได้แก่ and, or, but, so, still, yet etc.

คำสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคความรวม (Compound Sentence) ที่สำคัญ ได้แก่ and แปลว่า และ, กับ ใช้เชื่อมประโยคที่มีใจความคล้อยตามกัน

but แปลว่า แต่ ใช้เชื่อมประโยคที่มีใจความขัดแย้งกัน

or แปลว่า หรือใช้เชื่อมประโยคที่มีใจความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

both...and แปลว่า ทั้ง...และ

either...or แปลว่า ไม่อย่างหนังก็อีกอย่างหนึ่ง (ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง)

neither...nor แปลว่า ไม่ทั้งสองอย่าง

ถ้าใช้ neither วางไว้หน้าประโยค จะต้องตามด้วยกริยาช่วย ประธานและกริยาแท้

not only...but also แปลว่า ไม่เพียง.......แต่.......ด้วย

สำหรับประโยคความรวม (Compound Sentence) บางประโยคจะเชื่อมด้วยคำกริยา วิเศษณ์ (Conjunctive Adverb) ได้แก่ however (อย่างไรก็ตาม), meanwhile (ในขณะที่), therefore (ดังนั้น, เพราะฉะนั้น), otherwise (มิฉะนั้น), thus (ดังนั้น), hence (ด้วยเหตุนี้), nevertheless (แม้กระนั้น), etc.

ประโยคความรวมที่เชื่อมด้วยคำกริยาวิเศษณ์จะมีเครื่องหมาย, คั่นระหว่างข้อความในส่วนแรก กับ     ข้อความในส่วนหลัง บางครั้งอาจจะพบการใช้เครื่องหมายวรรคตอนหลายชนิดอยู่ในประโยคเดียวกัน ถ้า      เป็นประโยคที่มีการขยายความหรือให้รายละเอียดมากขึ้น

ให้สังเกตว่าประโยคความรวม (Compound Sentence) คือการนำประโยคความเดียว (Simple Sentence) 2 ประโยคมาร่วมกันและเชื่อมด้วยคำสันธาน (Conjunction) หรือคำกริยา วิเศษณ์ (Conjunctive Adverb)

________________________________________________________________