บทที่ 1
ศักยภาพธุรกิจ
เรื่องที่ 1 ความหมาย ความสำคัญ และความจำเป็นของการพัฒนาอาชีพเพื่อความมั่นคง
การพัฒนาอาชีพ หมายถึง การประกอบอาชีพที่มีการพัฒนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา มีส่วนครองตลาดได้ตามความต้องการของผู้ผลิต และเกิดความมั่นคงในอาชีพ เป็นกระบวนการส่งเสริมพัฒนาให้บุคคลมีศักยภาพในการทำธุรกิจให้มีความก้าวหน้าในอาชีพ โดยมีแนวทางการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญ
ที่ใช้ในการพัฒนาศักยภาพธุรกิจเพื่อความมั่นคงในอาชีพ เช่น อาชีพและทิศทางของอาชีพที่จะทำ นโยบายการพัฒนาอาชีพ การวางแผนการพัฒนาอาชีพ กลยุทธ์การพัฒนาอาชีพการประเมิน และการพัฒนาอาชีพ
ความสำคัญและความจำเป็นของการพัฒนาอาชีพ ในการพัฒนาอาชีพ มีหลักพื้นฐานที่ควรรู้และปฏิบัติ คือ การรู้จักอาชีพของตนเองให้ดีพอ รู้ทิศทางของอาชีพของตน รู้โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วางแผนชีวิตและการทำ งาน กำหนดนโยบายการพัฒนาอาชีพของตนเอง ตั้งเป้าหมายแบ่งระยะให้เห็นเป็นรูปธรรม วางกลยุทธ์พัฒนาอาชีพ ลงมือปฏิบัติ ประเมินผล ปรับปรุง และพัฒนา การพัฒนาอาชีพมีความสำคัญและความจำเป็น ดังนี้
1. ช่วยให้มีสินค้าที่ดีตรงตามความต้องการของผู้บริโภค
2. ช่วยให้ผู้ผลิตได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์หรือสินค้าได้ตลอดเวลา
3. ช่วยให้มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตทำให้สินค้ามีคุณภาพขึ้น
4. ช่วยให้เศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น
5. ช่วยให้บุคคลมีความสามารถจะประกอบอาชีพต่อไป ทำให้เกิดความมั่นคงในอาชีพของตนเอง และก้าวสู่ความก้าวหน้าในอาชีพที่ประกอบอยู่ต่อไป
6. ช่วยให้กิจการของตนมีความมั่นคง สามารถดึงบุคคล ที่มีความสามารถสูงเข้ามาทำงานบุคคล ที่มีความสามารถมักจะพิจารณาเลือกทำงานกับกิจการที่ตนเห็นว่ามั่นคงซึ่งให้ความสำคัญต่ออนาคตและความก้าวหน้าของบุคคล
7. ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี กิจการที่ให้ความสำคัญ และความสนใจแก่อนาคตและความก้าวหน้าของบุคคล ย่อมจะทำให้ทั้งบุคคลภายในและบุคคลภายนอกมีความรู้สึกที่ดี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์และชื่อเสียงให้กิจการเป็นอย่างดี
8. ช่วยให้บุคคลมีการพัฒนาตนเองและลดความล้าสมัย เพราะจำเป็นต้องเพิ่มพูนความรู้และความสามารถก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอื่น ๆ สำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพส่วนตัว ก็จะเพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพขึ้น ลดความเบื่อหน่ายจำเจของอาชีพ และยังเพิ่มทักษะเทคโนโลยีในการประกอบอาชีพขึ้นอีกด้วย
เรื่องที่ 2 ความจำเป็นของการวิเคราะห์ศักยภาพธุรกิจ
2.1 ศักยภาพของธุรกิจ หมายถึง ธุรกิจที่สามารถพัฒนาสินค้านั้น ๆ ให้อยู่ในตลาดได้อย่างมั่นคง
2.2 การวิเคราะห์ หมายถึง การแยกแยะสิ่งที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนย่อยที่มีความสัมพันธ์กัน รวมทั้ง การสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบปลีกย่อยนั้นสามารเข้ากันได้หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง
2.3 การวิเคราะห์ศักยภาพธุรกิจ หมายถึง การแยกแยะความสามารถหรือความพร้อมองค์ประกอบของธุรกิจ ได้แก่ ทุน บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ และการจัดการ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจในแต่ละส่วนของธุรกิจอันจะนำไปสู่การพัฒนาอาชีพให้มีความเข้มแข็ง
2.4 โครงสร้างศักยภาพการขยายอาชีพสู่ความมั่นคง ดังนี้
2.5 ความจำเป็นที่ทำให้ต้องมีการวิเคราะห์ศักยภาพธุรกิจ
1. เพื่อทำให้เห็นทิศทางของธุรกิจในเชิงกลยุทธ์
2. เพื่อให้มีแนวทางในการดำเนินงานอย่างรอบคอบ ปลอดภัยจากการขาดทุน
3. เพื่อให้ลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
4. เพื่อเป็นการชี้แนวทางด้านธุรกิจให้แก่บุคคลหรือองค์กร ที่จะทำการสนับสนุนเงินทุนในการกู้ยืมหรือผู้ร่วมลงทุน
5. เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการ
6. เพื่อให้สามารถขยายตลาดได้กว้างขวางกว่าเดิม
7. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าเห็นศักยภาพซึ่งจะนำไปสู่การบริโภคอย่างต่อเนื่อง
2.6 การวิเคราะห์ธุรกิจและโครงการ
1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ได้จากการประเมินสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ทั้งที่เป็นโอกาสและอุปสรรคของธุรกิจ/โครงการ ปัจจัยภายนอกที่ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจ มี 5 ประการหลัก ๆ ดังนี้
1. กลุ่มผู้ซื้อหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
2. ค่านิยมทางวัฒนธรรมและสังคม
3. ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี
4. สถานการณ์และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
5. สถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงกฎ ระเบียบ กลุ่มผู้ผลิต/จำหน่ายวัตถุดิบและเครือข่ายธุรกิจ
2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายใน เป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ ถือเป็นการตรวจสอบความสามารถ ความพร้อม จุดอ่อนและจุดแข็งของธุรกิจ/โครงการ แบ่งเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
1. กำหนดประเด็นที่มีอิทธิพลต่อความสามารถ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลต่อโครงการ
2. วิเคราะห์จัดกลุ่มของประเด็นต่าง ๆ เช่น จุดแข็ง จุดอ่อน
3. ประเมินความสำคัญของแต่ละประเด็น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดสรรทรัพยากร (เงิน คน ของ) เพื่อเสริมจุดแข็งและลดจุดอ่อน
4. วิเคราะห์การแข่งขัน
เรื่องที่ 3 การวิเคราะห์ตำแหน่งธุรกิจ
การวิเคราะห์งานทางธุรกิจ คือ กระบวนการในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงาน ด้านลักษณะหน้าที่ ความรับผิดชอบ และข้อมูลเกี่ยวกับคน ด้านความรู้ความสามารถ ทักษะ องค์ประกอบ และข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการวิเคราะห์งานนั้นการเข้าสู่อาชีพเมื่อดำเนินธุรกิจไปจนประสบผลสำเร็จ มักมีการทำเลียนแบบกันมาก ส่วนแบ่งการตลาดจึงมีขนาดเล็กลงโดยลำดับ จนถึงวันหนึ่งจะเกิดวิกฤติจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาหรือขยายขอบข่ายอาชีพออกไปหรือเรียนรู้ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้เพื่อให้อยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน การพัฒนาหรือขยายอาชีพ จะต้องวิเคราะห์และประเมินศักยภาพของธุรกิจว่าอยู่ในตำแหน่งธุรกิจระดับใด
การวิเคราะห์ตำแหน่งธุรกิจระยะต่าง ๆ
1. ระยะเริ่มต้น เป็นระยะเริ่มต้นของการทำธุรกิจ จึงต้องมีการพัฒนาให้ธุรกิจอยู่ได้ เป็นระยะที่ผู้ประกอบการจะต้องประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการให้ลูกค้ารู้จักระยะนี้อยู่ในตำแหน่งธุรกิจที่ผู้บริโภคยังไม่รู้จัก เมื่อเริ่มธุรกิจหรือประดิษฐ์สินค้าใหม่ ๆ ส่วนประกอบหลักที่จะช่วยทำให้ธุรกิจมีชื่อเสียงขึ้น ควรพิจารณาคำถามจากสิ่งเหล่านี้ คือ สินค้ามีความจำเพาะโดดเด่นหรือไม่ ถ้ามีคืออะไร สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ หรือสินค้าของท่านเหนือคู่แข่งอย่างไร
2. ระยะสร้างตัว เป็นระยะที่ธุรกิจเติบโตมาด้วยดี มักจะมีคนจับตามองพร้อมคำถามระยะนี้อยู่ในตำแหน่งธุรกิจที่ต้องเน้นหนักในการเจาะตลาด เป็นระยะที่สมควรเน้นหนักในเรื่องของประชาสัมพันธ์ ด้วยเหตุผล คือ เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาดเพื่อเพิ่มปริมาณส่วนแบ่งการตลาดให้ได้มากที่สุด ต้องคำนึงถึงคุณค่าของสินค้าและราคาไม่สูงเกินจำเป็น พยายามหาคุณค่าพิเศษในตัวสินค้าและสร้างความเข้าใจให้ตลาดรับรู้โดยเร็วส่งเสริมบริการหลังการขาย ให้เป็นที่พึงพอใจของลูกค้า
3. ระยะทรงตัว เป็นระยะที่ธุรกิจอยู่นิ่ง ไม่มีการขยายตลาด ไม่มีการพัฒนา สืบเนื่องมาจากระยะที่ 3 ที่มีผู้ประกอบการอื่น ๆ ทำตาม จึงทำให้มีส่วนแบ่งของตลาดระยะนี้อยู่ในตำแหน่งที่สินค้าเข้าสู่ตลาดและสร้างฐานผู้บริโภค เป็นระยะที่ส่วนแบ่งการตลาดเกิดความอิ่มตัว ควรพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้ คือ รักษาคุณภาพของสินค้าให้เสมอต้นเสมอปลายไม่ตกต่ำกว่าเดิม ต้องกระตุ้นให้ตลาดจดจำสินค้าของเราในแง่บวกอย่างต่อเนื่อง ไม่มีพฤติกรรมฉวยโอกาสเมื่อสินค้าทรงตัวอยู่ในตลาด
4. ระยะตกต่ำหรือสูงขึ้น เป็นระยะที่ถ้าไม่มีการพัฒนาธุรกิจก็จะอยู่ในขาลง ถ้ามีการพัฒนาธุรกิจจากระยะทรงตัวก็จะทำให้ธุรกิจอยู่ในขาขึ้นระยะนี้อยู่ในตำแหน่งที่ธุรกิจติดตลาด สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ หรือเกิดความตกต่ำทางการตลาด หากตกต่ำควรปรับแผนกลยุทธ์ทั้งกระบวนการผลิตและการตลาด กำหนดนโยบายขององค์กรให้สอดคล้อง สร้างความเชื่อถือในธุรกิจอย่างสูงสุดพยายามพิสูจน์ความมีคุณธรรมในตัวสินค้าที่ต้องสามารถนำไปช่วยใช้ในการโฆษณาให้ได้
เรื่องที่ 4 การวิเคราะห์ศักยภาพธุรกิจบนเส้นทางของเวลาตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่
การดำเนินธุรกิจหรือประกอบอาชีพใด ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
4.1 การแบ่งกลุ่มอาชีพ 5 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กลุ่มอาชีพเกษตรกรรม ศักยภาพที่ต้องวิเคราะห์ ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ทรัพยากรมนุษย์
2. กลุ่มอาชีพอุตสาหกรรม ศักยภาพที่ต้องวิเคราะห์ ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต้องอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ ลักษณะภูมิประเทศ เพื่อสะดวกในการขนส่งถ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวต้องคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต
3. กลุ่มอาชีพพาณิชยกรรม ศักยภาพที่ต้องวิเคราะห์ ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ และทำเลที่ตั้ง
4. กลุ่มอาชีพความคิดสร้างสรรค์ ศักยภาพที่จำเป็นมาก ได้แก่ ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ผลิตงานใหม่ ๆ
5. กลุ่มอาชีพอำนวยการและอาชีพเฉพาะทาง ศักยภาพที่ต้องวิเคราะห์ ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และทรัพยากรมนุษย์
4.2 ศักยภาพ 5 ด้าน เป็นการที่จะตัดสินใจดำเนินธุรกิจหรือดำเนินการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีวิธีการที่หลากหลาย เช่น การใช้กระบวนการคิดเป็น การทำวิจัย การทดลองนำร่อง นอกจากนี้ยังมีวิธีการวิเคราะห์ศักยภาพทั้ง 5 ด้าน ดังนี้
1. ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพ ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ป่าไม้ แม่น้ำ ลำคลอง อากาศ แร่ธาตุต่าง ๆ การประกอบอาชีพต้องพิจารณาว่าทรัพยากรที่จะต้องนำมาใช้ในการประกอบอาชีพในพื้นที่มีหรือไม่ มีเพียงพอหรือไม่ เช่น ตัดสินใจจะประกอบอาชีพจักสานตะกร้าจากไม้ไผ่ แต่ในพื้นที่ไม่มีต้นไผ่ ต้องพิจารณาแล้วว่าจะประกอบอาชีพนี้ได้หรือไม่ ถ้าต้องการประกอบอาชีพจริง ๆ เนื่องจากตลาดมีความต้องการมากก็ต้องติดต่อไปว่าจะคุ้มค่ากับค่าขนส่งหรือไม่
2. ศักยภาพของพื้นที่ตามลักษณะภูมิอากาศ คือ ลักษณะอากาศประจำถิ่นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งมีอิทธิพลต่อการประกอบอาชีพในแต่ละพื้นที่ที่มีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศไทยภาคกลางมีอากาศร้อน ภาคใต้มีฝนตกเป็นเวลานาน ภาคเหนือมีอากาศเย็น โดยเฉพาะอาชีพเกษตรกรรมขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า การปลูกลิ้นจี่ ลำไย ต้องการอากาศเย็นจึงจะออกผลได้ แก้วมังกรต้องการอากาศร้อน ดังนั้น การปลูกพืช จำเป็นต้องพิจารณาสภาพภูมิอากาศด้วยว่าเหมาะสมกับชนิดของพืชนั้น ๆ หรือไม่
3. ศักยภาพของภูมิประเทศและทำเลที่ตั้งของแต่ละพื้นที่ คือ ลักษณะทางกายภาพของแผ่นดิน ความสูงต่ำ ที่ราบลุ่ม ที่ราบสูง ภูเขา แม่น้ำ ทะเล เป็นต้น สภาพภูมิประเทศและทำเลที่ตั้งของแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อการประกอบอาชีพต่าง ๆ เป็นต้นว่า กลุ่มอาชีพเกษตรกรรมขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ เช่น อาชีพทำนา สามารถทำนาได้ทั้งในที่ราบลุ่มที่เราเห็นอยู่ทั่วไป แต่ในที่ราบสูงหรือบนภูเขาก็ทำนาได้โดยไม่ใช้น้ำขึ้นอยู่กับการใช้พันธุ์ข้าว กลุ่มอาชีพอุตสาหกรรม ภูมิประเทศและทำเลที่ตั้งในการประกอบอาชีพอุตสาหกรรมที่ดี ควรใกล้แหล่งวัตถุดิบ การคมนาคมสะดวกต่อการขนส่งสินค้า หรือถ้าเป็นอาชีพอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต้องมีลักษณะภูมิประเทศที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้
4. ศักยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ คือ ความเชื่อ การกระทำที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเอกลักษณ์และมีความสำคัญต่อสังคม ในแต่ละพื้นที่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น แต่ละพื้นที่สามารถนำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นอาชีพได้ เช่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเข้าชมศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีพื้นบ้าน หรือพาชมวิถีชีวิต ซึ่งจะมีอาชีพอื่น ๆ เกิดตามมา เช่น การขายของที่ระลึก การนวดแผนไทย การขายอาหาร ผู้ประกอบการต้องพิจารณาว่า ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตในพื้นที่มีความโดดเด่น สามารถนำมาใช้ประกอบอาชีพได้หรือไม่
5. ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่ คือ ความรู้ ความสามารถของมนุษย์ที่เป็นภูมิปัญญา ทั้งในอดีตและปัจจุบันต่างกัน ในแต่ละท้องถิ่นมีความถนัดและความชำนาญในการบำรุงรักษา การเก็บเกี่ยว และจัดจำหน่ายที่ไม่เหมือนกันส่งผลให้ผลผลิตและรายได้ต่างกัน ดังนั้น ทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่จะมีผลต่อการประกอบอาชีพที่ต้องนำมาพิจารณาว่าในพื้นที่มีภูมิปัญญาที่จะเรียนรู้ใช้เป็นความรู้หรือนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้หรือไม่ เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีภูมิปัญญาทำมีดอรัญญิก ทำปลาตะเพียนจากใบลาน งานหล่อทองเหลือง เป็นต้น